Monday, August 5, 2013

แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมนิยม  (Behaviorism)  

               กลุ่มพฤติกรรมนิยมมีผู้นำของกลุ่มคือ  จอห์น  บี  วัตสัน  (John  B.  Watson, 1878 – 1958)  เป็นผู้ที่มีความคิดค้านกับแนวคิดของกลุ่มโครงสร้างของจิตที่ศึกษาพฤติกรรม มนุษย์ด้วยวิธีการย้อนไปตรวจสอบตนเอง  (introspection)  เพราะเขาเห็นว่าวิธีการตรวจสอบตนเองค่อนข้างเกิดอคติได้ง่ายและยังไม่เป็น วิธีทางวิทยาศาสตร์ เพราะผลที่เกิดมักมีแนวโน้มที่เกิดจากเจตคติส่วนบุคคลไปในทางใดทางหนึ่งแล้ว แต่ความรู้สึกของผู้ศึกษาเอง จอห์น  บี  วัตสัน  เห็นว่าควรใช้วิธีการที่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่เห็นได้และเขาเป็นผู้เสนอให้ มีการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ในด้านที่สังเกตและมองเห็นได้

จอห์น  บี.  วัตสัน
             
                การศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในแนวใหม่ของวัตสันจึงได้จัดเป็นวิธีการศึกษาใน ลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์สมัยใหม่กล่าวโดยสรุป  แนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมเน้นว่า พฤติกรรมทุกอย่างต้องมีเหตุและสาเหตุนั้นอาจมาจากสิ่งเร้าในรูปใดก็ได้ที่ มากระทบกับอินทรีย์หรือร่างกาย  จึงทำให้อินทรีย์แสดงพฤติกรรมตอบสนอง  กลุ่มพฤติกรรมนิยมจึงใช้วิธีการศึกษาพฤติกรรมด้วยวิธีการทดลอง  และการสังเกตอย่างมีระบบ และสรุปว่าการวางเงื่อนไข (Conditioning) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมและสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้  พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์เกิดได้จากการเรียนรู้มากกว่าเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ  และจากศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของสัตว์ที่ถูกทดลองสามารถช่วยให้เราเกิด ความเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคลได้ กลุ่มแนวคิดนี้ใช้วิธีการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ด้วยวิธีการทดลองประกอบกับวิธี การสังเกตอย่างมีระบบแบบแผน    นักจิตวิทยาในกลุ่มพฤติกรรมนิยมนี้ศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้  ดังนั้นกลุ่มนี้ จะไม่ยอมรับวิธีการศึกษาแบบสังเกตตนเองโดยกล่าวหาว่า การสังเกตตนเองไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่น่าเชื่อถือ  แต่กลุ่มนี้มุ่งศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้  โดยเชื่อว่าเขาจะทราบถึงเรื่อราวของจิตก็โดยการศึกษาจากพฤติกรรมที่แสดงออก เท่านั้น
นักจิตวิทยาในกลุ่มพฤติกรรมนิยมได้อธิบายแนวคิดกลุ่มพฤติกรรมนิยมไว้ 3 ประการ คือ  
         
             1. การวางเงื่อนไข(Conditioning) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดังการทดลองของ  Pavlov  และ  Skinner  เชื่อว่าสามารถใช้วิธีฝึกฝนอบรมที่เหมาะเพื่อฝึกเด็กให้มี   พฤติกรรมตามที่เราปรารถนาได้  โดยใช้วิธีการวางเงื่อนไขกับเด็ก  เพื่อให้เกิดพฤติกรรมอันเป็นผลจากการเรียนรู้มากกว่าสัญชาติญาณ  หรือคุณสมบัติอื่น ๆ  ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
             2. พฤติกรรม พฤติกรรมของคนที่ปรากฏขึ้นส่วนมาก   เกิดจากการเรียนรู้มากกว่าจะเป็นไปเองตาม      ธรรมชาติ  ( Behaviorism  was  its  emphasis  on  Iearned  rather  than  unlearned )  ดังการทดลองของ  Watson  โดยอินทรีย์ถูกวางเงื่อนไขให้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น  การตอบสนองนี้อาจเกิดจากกลไกของสรีระ  คือต่อมต่าง ๆ ประสาท  กล้ามเนื้อ  และพฤติกรรมอันสลับซับซ้อนของอินทรีย์นั้น  เป็นผลรวมของปฏิกิริยาตอบสนองย่อย ๆ  ที่เชื่อมโยงกันในรูปต่าง ๆ  ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเรียกจิตวิทยาเชิงเร้าและการตอบสนอง  ( Stimulus    Response  Psychology ) 
             3. การเรียนรู้ การเรียนรู้ของคนกับสัตว์ไม่ต่างกันมาก   การทดลองกับสัตว์เป็นการง่ายกว่าที่จะทดลองกับคนสามารถเรียนรู้เรื่องของคน โดยการศึกษาจากสัตว์ได้เป็นอันมาก เราสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของคนได้จากการศึกษา     พฤติกรรมของสัตว์  นักจิตวิทยากลุ่มนี้คือ  เอดเวิด  ธอร์นไดด์  ( Edward  Thorndike )  และ  คลาร์ก  แอล  ฮุลล์  ( Clark  L.  Hull )  จึงได้ตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์ขึ้นโดยอาศัยจากการ ทดลองกับสัตว์

 เอดเวิด  ธอร์นไดด์

               เปรียบเทียบกับกลุ่ม  Structuralism  และ  Functionalism  เห็นว่า  สองกลุ่มนั้นมุ่งศึกษาเฉพาะจิตที่รู้สึกนึกและเป็นการศึกษาจากภายใน  ของสิ่งที่มีชีวิตออกมาข้างนอก  ส่วนกลุ่ม  Behaviorism  มุ่งศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตเห็นได้  (Observable  Behavior)  เป็นการศึกษาจากภายนอกของสิ่งที่มีชีวิตเพื่อจะเข้าใจข้างใน  โดยสองกลุ่มแรกใช้ระเบียบวิธีการสังเกตตนเอง  ( Introspection method)ซึ่งเป็นวิธีการแบบอัตนัย (Subjective  method)  ส่วนกลุ่ม  Behaviorism  ใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์(Scientific  method)หรือระเบียบวิธีแบบอัตนัย(Objective method)  มุ่งปรับปรุงเนื้อหาสำคัญของวิชาจิตวิทยาให้ได้มาตรฐานเดียวกันกับวิทยา ศาสตร์แขนงอื่นๆ  ให้เห็นว่า “จิตวิทยาคือหมวดความรู้ที่ว่าด้วยพฤติกรรม“( Psychology as a  science  of  behavior )  เพื่อให้เข้าใจง่ายและสรุปแนวทัศนะเป็นข้อ ๆ  ดังนี้

               1. กลุ่ม  Behaviorism  ปรับปรุงใหม่ทั้งด้านเนื้อหา  ( Content  of  Subject  matter )  ระเบียบวิธี  ( Method )  เป็นวิทยาศาสตร์และเหมือนวิทยาศาสตร์แขนงอื่น ๆ              
               2. มุ่งศึกษาเฉพาะพฤติกรรมที่สังเกตได้หรือสามารถวัดได้(Observable or  Measurable  Behavior )  ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับกลไกทางสรีรวิทยา  ( Physiological  mechanisms )  เช่นการทำงานของต่อม  ระบบประสาท  กล้ามเนื้อ
               นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมแบ่งพฤติกรรมเป็น  2  ลักษณะ  คือ  พฤติกรรมที่มีการเคลื่อนไหวภายนอก  ( Explicit  movement )  เป็นพฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นหรือวัดได้  เช่น  การนั่ง นอน  กิน  เดิน  เป็นต้นกับ พฤติกรรมที่มีการเคลื่อนไหวภายใน  (Implicit  movement)  เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตานอกจากวัดด้วยเครื่องมือที่เหมาะสม (Sensitive  Instruments)  เช่น  การคิด  การเกร็งของกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจ การตื่นเต้นจนทำให้หัวใจเต้นแรง เป็นต้น 
               3.  ยอมรับเฉพาะระเบียบวิธีแบบปรนัย  ( Objective  Method )  หรือระเบียบวิธีที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน  นักวิทยาศาสตร์แขนงอื่น ๆ  ใช้กัน  ไม่ยอมรับวิธีการสังเกตตนเอง  ( Introspection  Method )  หรือลักษณะวิธีอัตนัย  ( Subjective  Method )  ต้องการให้ระเบียบวิธีทางจิตวิทยา                ( Psychology  Method )  เป็นสากล
               4. มุ่งเน้นศึกษาพฤติกรรมโดยเฉพาะ ต้องการให้วิชาจิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ     พฤติกรรม จึงมีการทดลองต่างๆเพื่อเทียบเคียงพฤติกรรมของมนุษย์ว่าที่บุคคลแสดง พฤติกรรมเช่นนี้เป็นเพราะเหตุผลใด
               5. ยอมรับเฉพาะข้อมูล ( Data )  ที่ได้จากระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น  นำเอาระเบียบวิธีการสังเกตพฤติกรรม  ( Behavior  method )  มาใช้เป็นสำคัญ  ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต  ผู้สังเกตจะต้องบันทึกเฉพาะปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง พบเห็นจริง ๆ  เท่านั้น  ไม่บันทึกความรู้สึกลงไปด้วย
            
 กลุ่ม  Behaviorism  ประกอบด้วยกลุ่มย่อยๆ หลายกลุ่ม  เช่น

               1.  กลุ่มที่อาศัยความรู้ความเข้าใจเรื่องสมอง (Cerebrology)  กลุ่มนี้นำเอาความรู้ความเข้าใจในวิชาสรีรวิทยาใช้ในการอธิบายเรื่อง พฤติกรรม  เชื่อว่าอวัยวะนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญและทำหน้าที่ในการแสดงพฤติกรรมได้แก่  สมอง  หรือ  ระบบประสาทส่วนกลาง
               2. กลุ่มที่อาศัยความรู้ความเข้าใจในเรื่องปฏิกิริยาสะท้อน  (Reflexology)  มุ่งศึกษา      พฤติกรรมง่าย ๆ  และการแสดงปฏิกิริยาสะท้อน  (Reflex)  เช่น  การศึกษาเรื่องการเกิดปฏิกิริยาตอบ  สนอง  หรือการเกิดปฏิกิริยาสะท้อนแบบวางเงื่อนไข  (Conditioned  Response  or Reflex) 

               การแสดงปฏิกิริยาสะท้อน  (Reflex)  ย่อมต้องอาศัยสิ่งเร้า  (Stimulus)  ทำหน้าที่กระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตแสดงปฏิกิริยาสะท้อนออกมา  อินทรีย์  (Organism)  อันมีประสาทสัมผัส  (Receptor หรือ Sensory  neurons)  ทำหน้าที่รับการเร้าจากสิ่งเร้าแล้วรายงานไปยังประสาทส่วนกลาง  ประสาทที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว  (Effectors  หรือ  Motor  neurons)  ทำหน้าที่บงการหรือก่อให้เกิดการแสดงปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้า
สืบค้นโดย นายอนุวงศ์ อารีศิริไพศาล
แต่งบล๊อกโดย นายศรุต วัฒนกุลศิลปชัย

No comments:

Post a Comment